โปรแกรมตัดต่อวีดีโอ
1. Adobe Premier Pro
โปรแกรมตัดต่อวีดีโอสำหรับทั้ง Windows และ Mac จากบริษัทซอฟต์แวร์ชื่อดังอย่าง Adobe
ข้อดีของมันก็คือ Adobe Premier Pro นั้นสามารถเชื่อมต่อกับ Adobe After Effect และ Adobe Photoshop ได้ ซึ่งถ้าคุณใช้เครื่องมือเหล่านี้อยู่แล้ว คุณจะทำงานได้ง่ายขึ้นอีกเยอะ แต่ข้อด้อยคือคุณต้องจ่ายเป็นรายเดือน เมื่อเทียบกับซอฟต์แวร์ตัวอื่นๆ ที่จ่ายครั้งเดียวจบ อาจจะทำใจซื้อได้ลำบากหน่อย
ราคา: 600 บาท/เดือน (จ่ายรายปี) หรือ 900 บาท/เดือน (จ่ายรายเดือน)
2. Filmora Video Editor
Filmora Video Editor เป็นโปรแกรมตัดต่อวีดีโอของค่าย Wondershare ที่สามารถใช้งานได้ทั้งบน Windows, Mac และ Application บนมือถือ (ทั้ง iOS และ Android)
ข้อดีของมันคือหน้าตาที่สวยงาม และใช้งานง่าย และราคาค่อนข้างเป็นมิตร แต่ข้อด้อยคือ เมื่อเทียบกับโปรแกรมตัดต่อวีดีโอรุ่นใหญ่ตัวอื่นๆ แล้ว ฟีเจอร์ของมันอาจจะมีน้อยกว่า
ราคา: $29.99 ต่อปี หรือ $49.99 แบบจ่ายครั้งเดียว (สำหรับ Windows) และ $34.99 ต่อปี หรือ $49.99 แบบจ่ายครั้งเดียว (สำหรับ Mac)
3. Final Cut Pro
Final Cut Pro เป็นโปรแกรมตัดต่อขั้นเทพของ Apple ที่ใช้ได้บน Mac เท่านั้น
ข้อดีของโปรแกรมตัดต่อวีดีโอตัวนี้ก็คือฟีเจอร์ที่ครบครันเหมือนกับคุณมีโปรแกรมตัดต่อวีดีโอในสตูดีโออยู่ในมือของคุณ Final Cut Pro นั้นถูกใช้ในการตัดต่อภาพยนตร์ดังๆ มามากมายแล้วเช่น The Social Network, X-Men Origins และ 300 เป็นต้น ส่วนข้อด้อยของโปรแกรมตัวนี้คือมันอาจจะใช้งานยากสำหรับมือใหม่สักหน่อย เพราะว่ามันมีฟีเจอร์เยอะมาก และข้อด้อยอีกอย่างที่สำคัญที่อาจจะทำให้คนไม่กล้าใช้ก็คือราคาของโปรแกรมตัวนี้แพงมากๆ
ราคา: $299.99
4. iMovie
iMovie เป็นโปรแกรมฟรีพื้นฐานสำหรับคนที่ใช้งาน Device ต่างๆ ของ Apple
iMovie นั้นน่าจะเป็นหนึ่งในโปรแกรมตัดต่อวีดีโอที่ใช้งานได้ง่ายที่สุดโปรแกรมหนึ่งในตลาด มันสามารถทำการตัดต่อแบบพื้นฐานเช่น การเชื่อมต่อวีดีโอ, การเร่งความเร็ว การใส่เพลง และการใส่ตัวอักษร ลงไปในวีดีโอ แต่โปรแกรมนี้น่าจะไม่เหมาะกับคนที่ต้องการโปรแกรมตัดต่อแบบโปรที่สามารถทำงานได้หลากหลาย
ราคา: ฟรี
5. LightWorks Pro
LightWorks Pro เป็นโปรแกรมตัดต่อวีดีโอที่ใช้ได้ทั้งบน Windows, Mac และ Linux
ซึ่งโปรแกรมนี้เป็นอีกหนึ่งโปรแกรมที่มีฟีเจอร์ที่ครบครัน นอกจากนั้นแล้วข้อดีมากๆ ของ LightWorks ก็คือโปรแกรมตัว Free Trial นั้นมีฟีเจอร์เท่าๆ กับโปรแกรมตัวเสียเงิน เพียงแต่ตอน Export คุณจะทำได้แค่ Export File MP4 ไปยัง YouTube กับ Vimeo ด้วยความละเอียดแค่ 720p เท่านั้น ส่วนข้อด้อยของ LightWorks Pro ก็คือรูปร่างหน้าตาที่ใช้งานยาก และอาจจะต้องใช้เวลาในการเรียนรู้สักหน่อย และนอกจากนั้นแล้วราคาของ LightWorks Pro ยังค่อนข้างแพงอีกด้วย
ราคา: $24.99 ต่อเดือน, $174.99 ต่อ 2 ปี และ $437.99 แบบจ่ายครั้งเดียว
6. Vegas
Vegas เป็นโปรแกรมตัดต่อวีดีโอที่ใช้ได้บน Windows เท่านั้น
ผมเชื่อว่าหลายๆ คนคงคุ้นชื่อ Vegas แน่ๆ… ใช่แล้วครับ ก่อนหน้านี้ Vegas นั้นเป็นโปรแกรมของ Sony แต่เมื่อปลายปี 2016 นั้น Sony ได้ขาย Vegas ออกไปให้มือโปรด้านการตัดต่อ Audio อย่าง Magix
แต่ถึงแม้จะขายไปแล้ว แต่ความเจ๋งของโปรแกรมตัวนี้นั้นก็ยังคงอยู่เหมือนเดิม ข้อดีอย่างหนึ่งของ Vegas ก็คือมีโปรแกรมที่เหมาะกับนักตัดต่อตั้งแต่ระดับมือสมัครเล่น ไปจนถึงมืออาชีพ ส่วนข้อด้อยก็คือโปรแกรมตัวที่แพงที่สุดของ Vegas นั้นแพงมาก (แพงที่สุดในบทความนี้เลย)
ราคา: $49.95 สำหรับ Vegas Movie Studio, $79.95 สำหรับ Vegas Movie Studio Platinum, $139.95 สำหรับ Vegas Movie Studio Suite, $399 สำหรับ Vegas Pro Edit, $599 สำหรับ Vegas Pro และ $799 สำหรับ Vegas Pro Suite
7. Windows Movie Maker
Windows Movie Maker เป็นโปรแกรมตัดต่อวีดีโอสำหรับ Windows ที่น่าจะไม่มีใครไม่รู้จัก
ตัว Windows Movie Maker เองนั้นเป็นซอฟต์แวร์ฟรีของ Windows อยู่แล้ว ข้อดีของโปรแกรมตัวนี้ก็คือใช้งานได้ง่าย ถ้าคุณใช้ Windows อยู่แล้ว คุณน่าจะคุ้นเคยกับดีไซน์ของระบบอย่างดี หรือไม่ก็ใช้เวลาไม่นานในการทำความเข้าใจ ส่วนข้อด้อยของโปรแกรมตัวนี้ก็คือ เมื่อเทียบกับตัวอื่นๆ แล้ว ฟีเจอร์ต่างๆ มันจะน้อยกว่าค่อนข้างมาก
ราคา: ฟรี
สรุป
และนี่ก็คือโปรแกรมทั้ง 7 ตัวที่ผมเอามาฝากนะครับ
ถ้าลองสังเกตดูดีๆ จะเห็นว่าโปรแกรมที่ฟีเจอร์น้อย จะใช้งานง่าย และก็ราคาถูก ส่วนโปรแกรมที่ฟีเจอร์เยอะ ก็จะใช้งานยาก และราคาแพง ซึ่งโปรแกรมแต่ละตัวนั้นมันมีข้อดีของตัวเอง มันแค่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อให้กลุ่มผู้ใช้งานที่ต่างกันเท่านั้นเอง
ถ้าคุณต้องการแค่เพียงเครื่องมือที่ตัดต่อวีดีโอจากมือถือของคุณ บางทีตัวที่ฟีเจอร์น้อยๆ อาจจะเหมาะสมกว่า แต่ถ้าคุณต้องการจะเอาไปสร้างหนังสั้น หรือ MV โปรแกรมที่มีฟีเจอร์เยอะขึ้นมาหน่อยก็จะเหมาะกับคุณมากกว่า
เพราะฉะนั้น นอกจากอ่านบทความของผมบทความนี้แล้ว ผมแนะนำให้เข้าไปศึกษาโปรแกรมแต่ละตัวก่อนที่จะตัดสินใจซื้อ เพื่อที่ว่าจะได้เลือกโปรแกรมที่เหมาะกับการใช้งานของคุณมากที่สุด
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น